8 วิธีร่างสัญญา รู้ปุ๊บร่างได้ปั๊บ ฉบับเข้าใจง่าย

8 วิธีร่างสัญญา รู้ปุ๊บร่างได้ปั๊บ ฉบับเข้าใจง่าย

          การร่างสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร คือสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในทางกฎหมาย เนื่องจากทุกวันนี้เราไม่รู้ได้ว่าใครเป็นใคร หรือรู้หน้าไม่รู้ใจก็มีเหตุการณ์ตัวอย่างในข่าวมาแล้วมากมาย ดังนั้นไม่ว่าคุณจะกระทำอะไร การร่างสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ จะทำให้คุณมีสิทธิในการเรียกร้องหรือการตกลงยินยอมต่าง ๆ ได้โดยที่ไม่ถูกเขาเอารัดเอาเปรียบหรือบิดพลิ้วหนีสัญญา ซึ่งการร่างสัญญาที่คุณสามารถเห็นได้ในชีวิตประจำวัน ตัวอย่างเช่น สัญญาซื้อขาย สัญญาเช่าทรัพย์ สัญญาเช่าซื้อ สัญญากู้ยืมเงิน หรือสัญญาค้ำประกัน เป็นต้น ถ้าคุณไม่รู้ว่าควรจะเริ่มต้นร่างสัญญานั้นอย่างไร ให้ทำตาม 8 วิธีดังต่อไปนี้ 

8 วิธีร่างสัญญา ทำอย่างไรให้เป็นไปตามกฎหมาย 

  • จุดประสงค์ของสัญญาต้องชัดเจน 

          สิ่งแรกที่ต้องมี และต้องระบุไว้ที่กลางหน้ากระดาษบรรทัดแรกให้เด่นชัดเลย ก็คือจุดประสงค์ของสัญญา เนื่องจากสัญญานั้นมีหลากหลายรูปแบบ และแต่ละสัญญาก็จะมีการพิจารณาทางนิติกรรม (ทางกฎหมาย) แตกต่างกันออกไป จึงควรระบุจุดประสงค์ของสัญญาให้ชัดเจน ตัวอย่างเช่น 

    • สัญญาซื้อขาย คือ ร่างสัญญาที่ผู้ขายจะโอนกรรมสิทธิ์การเป็นเจ้าของให้แก่ผู้ซื้อ แบ่งออกได้อีกเป็นสัญญาซื้อขาย และสัญญาขายฝาก 
    • สัญญาเช่า คือ ร่างสัญญาที่ประกอบไปด้วยผู้เช่าและผู้ให้เช่าทรัพย์สินในระยะเวลาหนึ่ง แบ่งออกได้อีกเป็นสัญญาเช่าทรัพย์และสัญญาเช่าซื้อ 
    • สัญญากู้ยืม คือ ร่างสัญญาที่ผู้กู้มีเงินไม่เพียงพอต่อความต้องการจึงมาขอกู้ยืมจากผู้ให้กู้ แบ่งออกได้อีกเป็นสัญญากู้ยืมเงิน สัญญาค้ำประกัน สัญญาจำนำและสัญญาจำนอง

ร่างสัญญา

  • ต้องมีฝ่ายคู่กรณีหรือบุคคลที่ทำสัญญาด้วย 

          โดยทั่วไปในการทำสัญญา มักจะเกิดขึ้นจากการที่บุคคลสองคนขึ้นไปตกลงมั่นหมายกัน หรือมีเจตนาที่ตรงกัน ดังนั้นแล้ว ในการร่างสัญญาแต่ละครั้งจึงต้องมีการระบุตัวตนของทั้งสองฝ่ายให้ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นชื่อ ที่อยู่ หมายเลขประจำตัวบัตรประชาชน เบอร์โทรศัพท์มือถือ หากมอบหมายอำนาจให้ผู้แทนมาทำสัญญา ก็สามารถระบุเป็นชื่อของตัวผู้แทนได้ พร้อมกับแสดงเอกสารมอบอำนาจโดยชอบธรรม

  • วันที่ของสัญญาหรือวันที่มีผลบังคับใช้

          วันที่ของการทำสัญญาเองก็เป็นสิ่งสำคัญในการร่างสัญญา โดยปกติแล้ววันที่ในการทำสัญญาจึงมักจะอยู่บรรทัดล่างขวาถัดจากหัวข้อของสัญญา แต่ในบางกรณีเมื่อทำสัญญาแล้ว อาจจะไม่ได้มีผลบังคับใช้ทันที ไม่ว่าคุณจะเป็นฝ่ายร่างสัญญาหรือเซ็นสัญญาดูให้ดี ซึ่งที่พบเห็นบ่อยก็คือ กรณีการทำสัญญาเช่าทรัพย์เป็นการเช่าห้อง โดยอาจจะเริ่มทำสัญญาวันที่ 1 แต่จะให้ผู้เช่าเข้ามาอยู่วันที่ 10 ตัวผู้เช่าก็จะไม่สามารถเข้ามาอยู่อาศัยได้จนกว่าจะถึงวันที่ 10 

  • ความเป็นมาของสัญญานี้

          ความเป็นมา เกริ่นนำ หรืออารัมภบท ส่วนนี้จะอยู่ในย่อหน้าแรกของสัญญา เป็นการบอกกล่าวสั้น ๆ ว่าทำไมถึงเกิดสัญญานี้ขึ้น ซึ่งสามารถเป็นประโยคสั้น ๆ หรือมีรายละเอียดเต็ม 1 ย่อหน้าก็ได้เช่นกัน

ร่างสัญญา

  • คำนิยามแทนตัวต้องระบุให้ชัดเจน 

          คำนิยามแทนตัวเองก็สิ่งที่ขาดไม่ได้ในการร่างสัญญา เพื่อให้สัญญานั้นเป็นไปตามนิติกรรม (ทางกฎหมาย) และแยกแยะได้ว่าใครคือฝ่ายใด ตัวอย่างเช่น นาย ก ในสัญญานี้จะถูกเรียกว่า ‘ผู้ขาย’ และนาย ข ในสัญญานี้จะถูกเรียกว่า ‘ผู้ซื้อ’ เป็นต้น หากระบุไม่ชัดเจนว่าฝ่ายใดคือฝ่ายใด เมื่อเกิดกรณีพิพาทขึ้นมาครั้งหนึ่งก็จะทำให้เกิดความสับสน หรือกระทั่งถูกอีกฝ่ายกล่าวอ้างสถานะได้ 

  • รายละเอียดข้อตกลงต่าง ๆ ต้องเกิดความยินยอมสองฝ่าย

          ข้อตกลงต่าง ๆ ในการร่างสัญญา คือสาระสำคัญที่สุดในการทำสัญญา หากคุณร่างสัญญาด้วยตนเอง ก็ควรที่จะระบุข้อตกลงต่าง ๆ ออกมาให้ชัดเจน เพื่อที่ถึงเวลาเกิดข้อพิพาทแล้ว สัญญาจะได้เป็นไปตามที่คุณคิด ไม่ถูกบิดพลิ้ว หรือถูกตีความเป็นอื่น นอกจากนี้คู่กรณีหรืออีกฝ่ายหนึ่ง ก็มีสิทธิ์ที่จะแสดงความคิดเห็นหรือปรับเปลี่ยนข้อตกลงได้ จนกว่าทั้งสองฝ่ายจะยินยอมและเซ็นชื่อที่มีผลบังคับใช้ลงไปในสัญญา 

  • ระยะเวลาของสัญญา

          หากสัญญาของคุณไม่ได้กำหนดวันที่บังคับใช้ ระยะเวลาของสัญญาจะถูกเริ่มนับทันทีที่ทั้งสองฝ่ายเซ็นชื่อโดยยินยอม ซึ่งในแต่ละสัญญาก็จะมีอายุผูกพันแตกต่างกันออกไป ถ้าหากคุณไม่ได้กำหนดระยะเวลาเอาไว้อย่างชัดเจน สัญญานั้นจะหมดอายุผูกพันและเป็นโมฆะเมื่ออายุขัยสิ้นสุดลง ถ้าคุณไม่ได้อยากให้สัญญาสิ้นสุดลง ก็จำเป็นต้องทำการต่อสัญญา หรือระบุระยะเวลาของสัญญาเอาไว้ให้ชัดเจน

ร่างสัญญา

  • หากทำผิดสัญญาแล้ว จะเป็นอย่างไร 

          ส่วนสุดท้ายของการร่างสัญญา และใครหลายคนอาจจะมองข้ามไป นั่นก็คือเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเกิดผิดสัญญาหรืออยากถอนคำมั่น (ถอนสัญญา) จะทำอย่างไรต่อ โดยในเบื้องต้นเมื่อฝ่ายหนึ่งกระทำผิดสัญญาขึ้นมา ก็อาจจะเป็นเพียงการตักเตือนเพื่อให้แก้ไขความผิดพลาด แต่ถ้าหากกำหนดไว้ว่าเมื่ออีกฝ่ายกระทำผิดสัญญาจำนวน 3 ครั้ง จะถูกปรับเงินจำนวน 10,000 บาท แล้วคู่กรณีก็ยังไม่แก้ไขหรือไม่ยินยอมจ่ายเบี้ยปรับ ก็สามารถดำเนินคดีในชั้นศาลได้ โดยที่ในระหว่างคู่กรณีทำผิดสัญญา คุณเองก็ควรเก็บเอกสารหลักฐานต่าง ๆ เอาไว้ว่าเคยว่ากล่าวตักเตือน หรือประนีประนอมแล้ว จะทำให้คุณได้เปรียบในสัญญามากขึ้น 

          แต่ถ้าหากตอนนี้คุณต้องการผู้ที่จะช่วยในการร่างสัญญา ผู้ที่จะมาช่วยเป็นพยาน ผู้ที่จะมาช่วยตรวจสอบสัญญา หรือทนายความไปพิพาทในชั้นศาล ก็สามารถลองมาปรึกษากับเหล่าฟรีแลนซ์บนเว็บไซต์ Fastwork ได้เลย รับรองได้เลยว่าฟรีแลนซ์ทุกคนคือมืออาชีพของจริง ที่มีทั้งใบวิชาชีพและประสบการณ์แน่นอน

ฟรีแลนซ์ในหมวด กฎหมาย

ฟรีแลนซ์ในหมวด ธุรกิจและที่ปรึกษา

Related Posts
This site uses cookies to offer you a better browsing experience. By browsing this website, you agree to our use of cookies.