ไวรัสทำยอดขายตก ผู้คนเก็บตัวอยู่ในบ้าน การจับจ่ายใช้สอยของคนเริ่มลดลง ร้านขายอาหารลูกค้าไม่สามารถมานั่งรับประทานที่ร้านได้ แล้วคุณจะมีวิธีการปรับตัวรับมือกับเหตุการณ์นี้ และเข้าถึงลูกค้าได้อย่างไร?
ถ้าจะพูดถึง Social media แพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดในโลก คงจะเป็นอะไรไม่ได้นอกจาก Facebook มีจำนวนผู้ใช้งานกว่า 2,449 ล้านคน ซึ่งประเทศไทยมีผู้ใช้งานมากที่สุดเป็นอันดับ 8 ของโลก อยู่ที่ 47 ล้านบัญชี (ข้อมูลจาก Datareportal, Jan 2020) นี่จึงถือเป็นโอกาสของร้านอาหารในการใช้ช่องทางนี้เข้าถึงลูกค้าได้อย่างมหาศาล และหากหน้าแฟนเพจ Facebook เปรียบเสมือนหน้าร้านอาหาร ก็ถึงเวลาแล้วละที่คุณต้องเริ่มจัดระเบียบเปลี่ยนแปลงให้หน้าร้านนี้สดใหม่ดูดีอยู่เสมอ
ข้อมูลการติดต่อเป็นเรื่องสำคัญ
อย่างแรกเมื่อคุณมีแฟนเพจเฟซบุ๊กต้องตั้งและแก้ไขรายละเอียด โดยการใส่ข้อมูลเกี่ยวกับร้านอาหารให้ครบถ้วนและชัดเจน เพื่อที่จะอธิบายว่าร้านอาหารของคุณขายอะไร และสามารถติดต่อทางไหนได้บ้าง
โดยเริ่มจากการใส่คำอธิบายที่เป็นข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับร้านว่าขายอะไร อะไรที่เป็นจุดเด่น รวมถึงการเลือกหมวดหมุ่ในตรงกับประเภทสินค้า เพื่อที่เฟซบุ๊กจะเลือกแนะนำเพจเราไปให้กับกลุ่มเป้าหมายที่ชอบสินค้าตามที่เราเลือกไว้ ส่วนต่อมาการติดต่อ ควรใส่เบอร์โทรศัพท์ เว็บไซต์ อีเมล์ให้ครบ เพื่อที่คุณจะไม่พลาดการสื่อสารจากลูกค้าคนสำคัญ หรือจะสร้างปุ่มติดต่อที่หน้าเพจให้ตรงตามความต้องการของคุณได้เช่นกัน ส่วนสำคัญที่จะพลาดไม่ได้คือตำแหน่งที่ตั้ง เพราะจะช่วยให้ลูกค้าเกิดความมั่นใจได้มากยิ่งขึ้น และสามารถตรวจสอบที่ตั้งและทราบระยะทางในการจัดส่งได้ รวมถึงเวลาทำการ ที่คุณสามารถระบุวันและเวลาเปิด-ปิดของร้านอาหารได้อีกด้วย
ทำ Content ดีมีชัยไปกว่าครึ่ง
ก่อนจะเริ่มทำ Content ได้นั้น เราต้องรู้ก่อนว่าเป้าหมายของเราคืออะไร กลุ่มเป้าหมายเป็นใคร มีความสนใจอะไร แล้วอะไรที่จะเป็นประโยชน์กลุ่มลูกค้าของเราได้ เพราะเมื่อเรารู้ความต้องการของกลุ่มเป้าหมายแล้วการดึงความสนใจก็จะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป รูปแบบของคอนเทนต์ไม่มีรูปแบบตายตัว ขึ้นอยู่กับความสร้างสรรค์ของเจ้าของร้านอาหารที่จะสามารถดึงออกมาใช้ได้มากน้อยแค่ไหน ตัวอย่างเช่น Video & Live steaming, Promotional, Album post, Education content, Realtime content, Infographic, Quiz or Question content หรือจะเป็น Text quote ก็ได้ เพราะการทำ Content ไม่มีข้อกำจัด ไม่มีถูกผิด อาจจะลองทำออกมาเรื่อยๆ เพื่อดูว่าคอนเทนต์เข้าถึงผู้บริโภคได้มากน้อยแค่ไหน หากคอนเทนต์ดีมีคุณภาพ มีประโยชน์ต่อกลุ่มเป้าหมาย มีความน่าสนใจสามารถตอบสนองต่อความต้องการได้ก็จะช่วยเพิ่มผู้ติดตามแฟนเพจได้อย่างแน่นอน
ยิงโฆษณาเพื่อเข้าถึงกลุ่มลุกค้าให้มากขึ้น
จะทำโฆษณาทั้งที รูปที่ใช้ต้องดี กลุ่มเป้าหมายต้องเป๊ะ แคปชั่นต้องโดน จ่ายเงินค่าโฆษณาทั้งทีต้องทำให้คนจดจำแบรนด์ของเราได้
- เริ่มจากการเลือก Objective หรือวัตถุประสงค์ให้เหมาะสม แบ่งเป็น 3 หมวดหลักๆ ได้แก่
- การรับรู้ (Awareness) จะช่วยให้กลุ่มเป้าหมายสามารถเห็นโพสต์หรือโฆษณาในแคมเปญของเรา สามารถเข้าถึงคนจำนวนมากๆ ได้
- การพิจารณา (Consideration) จะเน้นการที่ให้ผู้คนมีปฏิสัมพันธ์กับโพสต์ของคุณ ไม่ว่าจะเป็นการดูวิดีโอ, คลิกเข้าดูเว็บไซต์, ติดตั้งแอปฯ, engagement, ส่งข้อความ Inbox ฯลฯ
- คอนเวอร์ชัน (Conversion) มีวัตถุประสงค์แล้วว่ากลุ่มเป้าหมายต้องเกิดการซื้อสินค้า, มียอดขายจากแค็ตตาล็อก และเยี่ยมชมหน้าร้าน
- งบประมาณและการตั้งเวลา (Budget & Schedule) สามารถใส่จำนวนเงินและวันเวลาได้ตามที่ต้องการ แต่ต้องให้สัมพันธ์กับขนาดของกลุ่มเป้าหมายที่เลือกไปด้วยนะ ไม่ควรน้อยจนเกินไป
- เลือก Audience หรือกลุ่มเป้าหมายให้ตรงกับธุรกิจ โดยเลือกจาก สถานที่ (Location), อายุ (Age) และ เพศ (Gender)
- การเลือก Target (Detailed Targeting)
- ลักษณะทางประชากรศาสตร์ (Demographics) เช่น การศึกษา การทำงาน และไลฟ์สไตล์ต่าง ๆ
- ความสนใจกิจกรรมที่ชอบและหัวข้อที่เกี่ยวข้อง (Interests) ยกตัวอย่าง ร้านอาหารขายพิซซ่า ควรจะเลือกเป็น Pizza, Fast food, Funk food เป็นต้น
- พฤติกรรมของผู้ใช้งาน (Behaviors) ตั้งแต่ การใช้โทรศัพท์ การซื้อของออนไลน์
- Placement เป็นการเลือกว่าจะให้โฆษณาไปแสดงผลในส่วนไหนของ Platforms
- Device สามารถเลือกได้ว่าจะให้โฆษณาแสดงบนคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์
- Platforms เลือกพื้นที่การแสดงผล ทั้ง Facebook, Instagram, Audience network และ Messenger
- Optimization & Delivery
- Optimization for Ad Delivery ให้เลือกตามวัตถุประสงค์ที่เลือกไว้ข้างต้น
- Cost Control เป็น optional อาจจะใส่หรือไม่ต้องใส่ก็ได้ สามารถปล่อยให้ Facebook คำนวณงบประมาณตามจำนวนเงินที่เราใส่ในหัวข้อ Campaign Details ให้อัตโนมัติได้เลย
- When You Get Charged หรือ เกณฑ์การเรียกเก็บเงิน ปกติก็จะใช้เป็น Impression ตาม default ที่ตั้งมา
- Delivery Type หรือ ประเภทการนำส่ง ที่ทาง Facebook แนะนำก็คือ แบบ Standard ทั่วไป หรือถ้าใครต้องการเร่งการนำส่งโฆษณาก็สามารถเลือกใช้ แบบ Accelerated ได้เลย
- การเลือกตัวโฆษณา (Ads)
เริ่มจากเลือกเพจของร้านอาหารเรา แล้วก็เลือกโพสต์ที่จะให้ลงโฆษณา มีทั้ง สร้างโพสต์ใหม่, เลือกการโพสต์หน้าเพจที่มีอยู่แล้ว หรือจะใช้แบบจำลองของสินค้าแทนรูปภาพจริงก็ได้ แล้วเลือก Tracking สำหรับการติดตามพฤติกรรมของผู้เข้าชมเว็บไซต์ โดยต้องทำการติดตั้ง Facebook Pixel ก่อน
ถ้าคอนเทนต์ดี เลือกกลุ่มเป้าหมายตรงแล้ว การยิงโฆษณาก็ถือเป็นอีกโอกาสทางเลือกในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่มากขึ้นให้เพจร้านอาหารของคุณนั้นเอง
โลกเปลี่ยนแปลงเร็ว ร้านอาหารของคุณก็ต้องตามให้ทันเช่นกัน ทุกวิกฤตมีโอกาสรออยู่เสมอ หากอยากเพิ่มยอดขาย มีโอกาสโดดเด่นเหนือคู่แข่ง ต้องเริ่มปรับเปลี่ยนแผนรับมือตั้งแต่วันนี้ แล้วความสำเร็จของธุรกิจคุณจะอยู่เพียงแค่เอื้อม Fastwork พร้อมเป็นผู้ช่วยสร้างความสำเร็จให้ธุรกิจคุณ